ในช่วงศตวรรษที่ 19 การที่งานศิลปะชิ้นใดจะได้รับการยอมรับ ก็จะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการจาก “สถาบันวิจิตรศิลป์” แห่งฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถาบันทางศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส และผลงานที่ได้รับการคัดเลือก ก็จะได้ร่วมแสดงในนิทรรศการศิลปะแห่งปารีส หรือ “ซาลอน” (Salon)
ศิลปินทุกคนก็พยายามกันอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ผลงานของตัวเองได้เข้าไปร่วมแสดงในซาลอน เพราะสำหรับยุคนั้นมันคือโอกาสแจ้งเกิดเดียวเลยก็ว่าได้ แต่ว่ามันก็มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือ งานส่วนใหญ่ที่ได้เข้าร่วมแสดงในซาลอน จะต้องทำตามกฏการเขียนงานจิตกรรมโบราณที่เข้มงวดมาก
คือการต้องเขียนงานหลายชั้น ให้งานดูเนี้ยบ ไม่มีรอยทีแปรง ต้องเกลี่ยไล่น้ำหนักทุกอย่างจนเข้ารูป และยังต้องมีองค์ประกอบที่ซับซ้อน และที่สำคัญที่สุดก็คือ เนื้อหาของงานจะต้องเกี่ยวกับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ เรี่ยวราวเกี่ยวกับเทพปกรณัมกรีก-โรมัน เรื่องที่ยกระดับจิตใจ สติปัญญาและศีลธรรม
คำถามคือ : ในสภาพสังคมแบบนี้ ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ทั้งหลายสร้างชื่อให้ตัวเองได้อย่างไร
เพื่อที่จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะที่รุนแรงขนาดที่ทำให้ภาพที่คนมองว่า “สวย” เปลี่ยนไปได้มากเหลือเกินขนาดนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูภาพเขียนภาพหนึ่งของโมเนต์ ที่เขาไม่เคยเขียนเสร็จ
นี่คือภาพ : Luncheon on the Grass โดยศิลปิน โกลด โมเนต์ (Claude Monet)
ที่โมเนต์เขียนไว้เมื่อปี 1865 และไม่เคยเขียนเสร็จ ถ้าสังเกต จะเห็นว่าภาพนี้มีการแหว่งไปบ้าง เนื่องด้วยว่าตอนนั้นโมเนต์ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก จึงนำภาพเขียนนี้ไปวางประกันกับเจ้าของที่พัก จากนั้นเมื่อโมเนต์มีเงินมากพอที่จะไถ่ภาพคืน ภาพนี้ก็ถูกราขึ้นไปเสียส่วนหนึ่งแล้ว เขาจึงตัดเก็บไว้เพียงบางส่วน
เหตุที่ยกภาพนี้มาเพราะว่า โมเนต์จงใจตั้งชื่อภาพนี้ให้เหมือนกับงานจิตกรรมอีกชิ้นหนึ่ง ของศิลปินที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อเขา ที่ถูกเขียนเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อนหน้า
นี่คือภาพ : Luncheon on the Grass โดยศิลปิน เอดัวร์ มาเนต์ (Édouard Manet)
มาเนต์พยายามส่งงานชิ้นนี้เข้าร่วมซาลอนในปี 1863 แต่ถูกกรรมการปฏิเสธออกมา แต่ว่าเรื่องก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะในปีนั้นจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ได้จัดตั้ง “Salon des Refusés” ขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเรียกอย่างง่ายก็คือ “ซาลอนสำหรับคนที่ตกรอบคัดเลือก”
ถ้าคุณเป็นคนสมัยนั้น โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าคุณเป็นคณะกรรมการจากสถาบันวิจิตรศิลป์ คุณจะบอกว่าภาพภาพนี้มันผิดไปหมด วิตถาร และคงรับไม่ได้อย่างรุนแรง
อย่างแรก จะสังเกตได้ว่าคนในภาพนี้ไม่ใช่เทพหรือเทวดา แต่เป็นคนฝรั่งเศสร่วมสมัยในศตวรรษที่ 19 ซึ่งจะนำมาสู่ประเด็นที่ 2 คือ การที่มีผู้หญิงเปลือยในท่าทางยั่วยวนอยู่กับผู้ชายร่วมสมัย เท่ากับว่าเป็นการบอกเป็นนัยว่าพวกเธอคือ “โสเภณี” ซึ่งโสเภณีก็เป็นอาชีพที่มีอยู่ทั่วไปในปารีสสมัยนั้น แต่ก็ไม่มีใครศิลปินคนไหนนำมาเขียนงานกัน และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ มาเนต์ใช้ทีแปรงที่ไม่ละเอียด ใช้ทีแปรงที่เร็วและหยาบ ซึ่งในสมัยนั้นจะมองว่างานแบบนี้คือ งานที่ไม่เสร็จ ยังไม่นับว่าบางบริเวณของภาพ มาเนต์นึกจะไม่เกลี่ยจนเกิดปริมาตร ก็ไม่ทำเสียอย่างนั้น
และจากประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด ก็จะเห็นเลยว่าทำไมพองานชิ้นนี้ถูกนำไปแขวนที่ซาลอนสำหรับคนที่ตกรอบคัดเลือก คนถึงกับรับไม่ได้กันืั้งเมือง และโดนนักวิจารณ์อัดเละกลับมา
นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่มาเนต์สะเทือนวงการศิลปะ เพราะในปี 1865 ผลงานอีกชิ้นของเขาที่ชื่อว่า Olympia ได้แสดงที่ซาลอน
ซึ่ง “โอลิมเปีย” เป็นชื่อที่โสเภณีในยุคนั้นใช้กัน เท่ากับเป็นการบอกเป็นนัยว่าสตรีที่นอนอยู่บนเตียงนางนี้เป็นโสเถณี
ด้วยความศิลป์จัดของมาเนต์ ทำให้เขาเป็นเหมือนผู้นำของกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าที่มักจะมารวมตัวกันที่คาเฟ่ต์ใกล้ ๆ กับสตูดิโอของเขา ศิลปินในกลุ่มนอกจากมาเนต์ก็เช่น โมเนต์ เรอนัวร์ เดอกาส์ ฯลฯ ศิลปินที่ในอนาตคจะกลายเป็นกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์
และเวลาก็ล่าวงเลยมาถึงปี 1874 ปีที่พวกของโมเนต์กำลังจะทำสิ่งที่พลิกวงการศิลปะ คือการจงใจจัดการแสดงงานศิลปะให้ตรงกับซาลอน เพื่อที่จะมาแข่งกับซาลอน
นิทรรศการแรกไม่ได้ทำให้พวกเขาขายงานได้มากเท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นที่โจษจันพอที่จะทำให้พวกโมเนต์เริ่มมีชื่อขึ้นมา และก็นิทรรศการแรกนี่แหละที่ ทำให้ได้ชื่อ “อิมเพรสชั่นนิสต์” มา เพราะตอนนั้มมีนักวิจารณ์คนหนึ่งที่ชื่อว่า หลุยส์ เลอรอย (Louis Leroy) มาดูถูกว่า งานที่เขียนลวก ๆ หยาบ ๆ เขียนไม่เสร็จแบบนี้มันเรียกว่างานจิตกรรมไม่ได้ มันเป็นได้แค่ “อิมเพรสชั่น”(ความประทับใจ) เท่านั้น
แต่พวกโมเนต์กลับอ้าแขนรับคำดูถูกนี้แบบไม่แยแสและเรียกกลุ่มของตัวเองว่า “อิมเพรสชั่นนิสต์” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ความพิเศษของงานอิมเพรสชั่นนิสต์ก็คือ พวกเขาเลือกที่จะเขียนโลกสมัยใหม่ เลือกที่จะเขียนคนที่อยู่ร่วมสมัยกับพวกเขาจริง ๆ แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นการใช้สี จะสังเกตว่าพวกอิมเพรสชั่นนิสต์จะใช้สีที่สดใส มักจะไม่ใช้สีดำ และที่เป็นอย่างนั้น เพราะพวกอิมเพรสชั่นนิสต์ต้องการถ่ายทอดวิธีที่แสงปรากฏต่อสายตาจริง ๆ
ศิลปินจัดงานแสดงสู้กับซาลอนมาเรื่อย ๆ มาถึง 4 ครั้ง ในปี 1879 ถึงจะเริ่มขายงานออกจนเริ่มได้กำไร พอมาถึงทศวรรษที่ 1880 พวกศิลปิน พวกอาร์ตดีลเลอร์ก็จะเริ่มสร้างระบบการแสดงงาน การขายงานที่อยู่ตัวมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น